เพราะเรื่องปากท้องเป็นเรื่องสำคัญ ชาวกะเบอะดินจึงต้องทำการเกษตรเพื่อเลี้ยงชีพ “เพราะการเกษตร อยู่กับชาวกะเบอะดินตั้งแต่เกิดยันตาย”
‘ชุมชนกะเบอะดิน’ หมู่บ้านของชาวกะเหรี่ยงโปว์บนยอดดอยสูงในอำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ พื้นที่ที่ประชากรทุกหลังคาเรือนปลูกพืชเป็นอาชีพหลัก เนื่องจากบริบททางสังคมและพื้นที่ของชุมชน ทำให้ ‘เนื้อสัตว์’ เป็นสิ่งที่หาได้ยากและราคาแพง
ด้วยเหตุนี้ชาวบ้านส่วนใหญ่จึงต้องเลือกบริโภคกันอย่างประหยัด ทำให้วัตถุดิบที่นำมาใช้ประกอบอาหารของชาวกะเบอะดินจึงมักจะมี ‘พืชผัก’ ที่พวกเขาปลูกกันเองเป็นส่วนประกอบหลัก
ชาวกะเบอะดินนิยมปลูกพืชหมุนเวียนกันตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน ฟักทอง พริก กะหล่ำปลี คือรายชื่อของพืชผักที่เกษตรกรชาวกะเบอะดินนิยมปลูกกันเป็นประจำในทุก ๆ ปี แต่ถ้าถามถึงพืชที่เป็นเอกลักษณ์ของชาวกะเบอะดินแล้ว คงต้องยกให้ ‘มะเขือเทศ’
‘มะเขือเทศกะเบอะดิน’ พืชเศรษฐกิจในยามหน้าแล้ง
“ในหน้าแล้งเราจะปลูกมะเขือเทศกันที่ทุ่งนา ส่วนหน้าหนาวพวกเราก็จะย้ายไปปลูกกันที่บนเขา” แกละซัง พลทวิช เกษตรกรชาวกะเบอะดินกล่าวถึงลักษณะการปลูกพืชหมุนเวียนของชาวบ้านในทุก ๆ ปี
‘ฤดูกาล’ เป็นปัจจัยสำคัญในการทำเกษตรของทุก ๆ พื้นที่ โดยปกติแล้วพืชแต่ละชนิดจะมีฤดูกาลที่เหมาะสมต่อการปลูก อย่าง ‘มะเขือเทศ’ จะเป็นพืชที่ชอบความชื้นและอากาศเย็นจัด เกษตรกรส่วนใหญ่จึงมักจะเริ่มปลูกมะเขือเทศตั้งแต่ช่วงเดือนตุลาคม หรือที่เรียกกันว่าช่วงปลายฝนต้นหนาว ไปจนถึงฤดูหนาวช่วงเดือนธันวาคม เพื่อให้ได้ผลผลิตที่สมบูรณ์และมีคุณภาพมากที่สุด
อย่าไรก็ตาม เมื่อผ่านพ้นช่วงฤดูหนาวไปแล้ว การปลูกมะเขือเทศจะกลายเป็นเรื่องยากลำบากสำหรับเกษตรกร เนื่องจากการปลูกพืชนอกฤดูนั้น ต้องดูแลและเอาใจใส่มากกว่าการปลูกพืชตามฤดูกาลหลายเท่า ขณะที่คุณภาพผลผลิตที่ได้ก็อาจจะลดลง จนนำไปสู่ภาวะสินค้าขาดตลาด แต่ปัญหาเหล่านี้ไม่เคยเกิดขึ้นที่ชุมชนกะเบอะดิน
อยากกินฟักทองรสหวาน ที่กะเบอะดินมีให้กินทั้งปี
อยากกินมะเขือเทศแสนอร่อย ที่กะเบอะดินก็มีให้กินทั้งปี
เพราะที่กะเบอะดินมี ‘ต้นน้ำ’ ที่ดีให้ใช้ทั้งปี ทำให้การเกษตรของพวกเขาดีทั้งปีตามไปด้วย
‘ห้วยผาขาว’ และ ‘ห้วยมะขาม’ คือแหล่งน้ำดีตลอดทั้งปีของชาวกะเบอะดิน ที่บอกกว่าเป็นแหล่งน้ำดี นั่นก็เพราะน้ำจากลำห้วยทั้งสองไม่เคยแห้งแล้งเลยสักครั้ง ชาวบ้านกะเบอะดินสามารถใช้น้ำจากทั้งสองแหล่งนี้ในการทำสวนได้ทั้งปี โดยไม่ต้องแก่งแย่งกันแต่อย่างใด และนี่คือเหตุผลที่ทำให้เกษตรกรชาวกะเบอะดิน สามารถปลูกมะเขือเทศได้ทั้งปีนั่นเอง
อากาศในชุมชนกะเบอะดินก็เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้เกษตรกรที่นี่สามารถปลูกมะเขือเทศได้ตลอดทั้งปี กะเบอะดินเป็นหมู่บ้านที่มีอุณหภูมิเฉลี่ยต่ำ เนื่องจากอยู่บนภูเขาสูง ทั้งยังรายล้อมไปด้วยต้นไม้และป่าไม้นานาพรรณ ซึ่งสภาพอากาศเช่นนี้เหมาะกับธรรมชาติของมะเขือเทศนที่ชอบอากาศเย็นและชอบความชื้นเป็นอย่างดี
จากดอยสูงสู่ตลาดทั่วภาคเหนือ
“เมื่อถึงฤดูเก็บเกี่ยว ชาวบ้านก็จะผลัดกันไปเก็บมะเขือเทศ มันเหมือนเป็นการไปเอามื้อนั่นแหละ ใครว่างก็ไปช่วยกัน ค่อย ๆ ช่วยกันไปทีละสวน พอเก็บเสร็จแล้วเราก็จะเอามานั่งคัด แล้วส่งให้นายทุนเขาไปขายต่ออีกที” ดวงใจ วงศธง เกษตรกรชาวกะเบอะดิน เล่าถึงกระบวนการในการเดินทางของมะเขือเทศจากหมู่บ้านสู่ท้องตลาด
โดยส่วนใหญ่แล้ว ชาวบ้านที่ทำการเกษตร มักจะมีนายทุน หรือที่เราเรียกติดปากกันว่า ‘พ่อค้าคนกลาง’ เป็นคนมาลงทุนและรับซื้อเหมาผลผลิตของชาวบ้านเพื่อนำไปขายต่อ โดยการซื้อขายผลผลิตในแต่ละครั้ง เกษตรกรกับนายทุนมักจะทำข้อตกลงเรื่องราคาประกันสินค้าเอาไว้ก่อน เพื่อเป็นหลักยืนยันว่าการทำเกษตรของพวกเขานั้นจะไม่สูญเปล่า
สำหรับราคาซื้อเหมาแต่ละครั้งก็จะแตกต่างกันออกไป บางครั้งราคาประกันอาจสูงมาก แต่ก็มีบางครั้งที่ราคาประกันต่ำกว่าปกติ อย่างเช่นในช่วงเดือนกันยายนที่พวกเราเดินทางไปที่กะเบอะดิน ราคามะเขือเทศจะอยู่ที่ 10 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งถือเป็นราคาในระดับกลาง ๆ สำหรับเกษตรกร
เมื่อผลผลิตพร้อมแล้ว จุดหมายต่อไปของมะเขือเทศจากกะเบอะดิน ก็ได้แก่ซูเปอร์มาร์เก็ต หรือท้องตลาดในจังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย และจังหวัดอื่น ๆ ในพื้นที่ภาคเหนือ ก่อนที่มะเขือเทศจากยอดดอย จะไปสิ้นสุดปลายทางอยู่บนจานอร่อยของใครสักคนนั่นเอง
การไม่หยุดพัฒนา พาชุมชนสู่ ‘ความเข้มแข็ง’
แม้ว่าจะที่ยังมีความทุรกันดารอยู่บ้าง แต่เกษตรกรชาวกะเบอะดินรุ่นใหม่ก็พยายามพัฒนาการเกษตรของพวกเขามาโดยตลอด รวมทั้งพยายามแสวงหาสิ่งใหม่ ๆ ที่จะช่วยสร้างโอกาสและความก้าาวหน้า รวมถึงผลประโยชน์ที่คุ้มค่าให้กับชุมชนของพวกเขาอยู่เสมอ
“เรามีความคิดที่จะลองปลูกพวกไม้ยืนต้นหรือผลไม้ดูบ้าง ที่หมู่บ้านอื่นเขามีการปลูกพวกแมคคาเดเมีย หรืออะโวคาโดกันบ้างแล้ว แต่ที่กะเบอะดินยังไม่มีใครปลูกกัน ถ้ามีโอกาส ในอนาคตก็อาจจะลองหามาปลูกดู”
พรชิตา ฟ้าประทานไพร เยาวชนกะเบอะดินที่เกิดในครอบครัวเกษตรกร พูดถึงแนวคิดที่จะนำไม้ยืนต้นเข้ามาลองปลูกในหมู่บ้าน เพื่อที่หมู่บ้านบนยอดดอยแห่งนี้จะได้มีพืชชนิดใหม่ ๆ เข้ามาเป็นทางเลือกใหม่ให้กับท้องตลาดในอนาคต
การเกษตรในกะเบอะดินนั้นยังคงดำเนินต่อไปได้อย่างเข้มแข็ง แม้ว่าพวกเขาจะเคยพบกับช่วงเวลาที่โหดร้ายอย่างช่วงที่เกิดโรคระบาดในพืช หรือช่วงที่ราคาพืชตกต่ำ แต่ความอดทน และความไม่ยอมแพ้ของพวกเขา ทำให้ชุมชนแห่งนี้ผ่านเรื่องราวเลวร้ายมาได้
แม้ว่าในปัจจุบันจะมีประเด็นปัญหาโครงการเหมืองถ่านหินในพื้นที่ แต่ชาวกะเบอะดินก็ยังคงยึดมั่นในอุดมการณ์อันยิ่งใหญ่ คือการไม่ยอมปล่อยให้อุตสาหกรรมเหมืองแร่เข้ามาครอบครองพื้นที่ทำกิน ที่ตั้งใจดูแลรักษาเอาไว้ให้กับรุ่นลูกรุ่นหลานของพวกเขา
เกษตรกรชาวกะเบอะดินยังคงมีความเชื่อว่า สักวันหนึ่งชุมชนของพวกเขาจะต้องพัฒนาไปในทางที่ดีกว่าเดิม
และคงจะดีมากยิ่งขึ้น หากได้รับการดูแลช่วยเหลือจากภาครัฐมากกว่าที่เป็นอยู่
เรื่อง : สุทธิกานต์ วงศ์ไชย
ภาพ : จิราเจต จันทร์คำ, กรองกาญจน์ เกี๋ยงภาลัก, วิชญ์รัตน์ สร้อยฉวี
บทความนี้เป็นผลงานของนักศึกษากลุ่มวิชาวารสารศาสตร์บูรณาการ คณะการสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
“สิ่งพิมพ์กำลังจะตาย” บ่อยครั้งที่ได้ยินและได้เห็นประโยคนี้ ในยุคสมัยที่เทคโนโลยีทำให้หนังสือปรากฏอยู่บนหน้าจอเล็ก ๆ ได้ การที่ร้านหนังสือตามริมทางจะหายไปจึงไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงมีผู้คนที่ยังหลงใหลในสัมผัสของกระดาษที่ได้จับผ่านมือ และกลิ่นอายของกระดาษและน้ำหมึกก็ยังคงติดตรึงในใจ
สุขภาพและความแข็งแรงของร่างกายคนเราก็มักจะเดินสวนทางกับขวบปีของชีวิต ยิ่งอายุมากขึ้น การทำงานของระบบต่าง ๆ ในร่างกายก็เสื่อมสภาพลงไปเรื่อย ๆ จากอดีตที่เคยวิ่งไกลหลายกิโลเมตรก็แทบจะไม่รู้สึกอะไร แต่ปัจจุบันแค่ขึ้นบันไดสองชั้นก็อาจจะเหนื่อยหอบแล้ว
ข้อมูลจาก ‘รายงานความสุขโลก’ หรือ World Happiness Report ประจำปี 2565 ซึ่งจัดทำโดยเครือข่ายวิชาการเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Solutions Network : SDSN) ขององค์การสหประชาชาติ ระบุว่าอันดับความสุขของคนไทยตกอันดับลงไปอยู่ที่อันดับ 61 จากเดิมที่อยู่ที่อันดับ 54 ในปี 2564